IR LAMP/หลอดอินฟราเรด

รายละเอียดเพิ่มเติม

หลอดอินฟราเรด เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่ง ซึ่งเราคุ้นเคยกับ INFARRED เสมอ เช่น ในแสงแดด สังเกตได้จากเมื่อเราอยู่ในแสงแดด เราจะรู้สึกร้อนเพราะแสงแดดจะมี INFRARED รวมอยู่ด้วยหรือที่เราเรียกว่า IR, IR ให้ความร้อนโดยการแผ่รังสีโดยไม่ต้องใช้ตัวกลางในการนำพาความร้อนเหมือนระบบอื่นๆเช่น HEATER ใช้ลมพาความร้อนไปใช้งาน และIRยังเป็นพลังงานบริสุทธิ์ที่ไม่ก้อให้เกิดมลพิษ เราสามารถจำแนกการใช้ความร้อนเป็นหมวดได้ดังนี้

– การนำพาความร้อน (CONDUCTION) คือการให้ความร้อนแก่ตัวกลาง จากนั้นก็พาตัวกลางที่ถูกทำให้ร้อนเคลื่อนที่สู่เป้าหมาย แต่ข้อเสียของระบบพาความร้อน คือ ความร้อนของวัตถุเป้าหมายจะขึ้นช้า(ซึ่งหมายถึงจะต้องพึ่งระบบหมุนตัวกลาง เช่น พัดลมหรือใบพัด กรณีตัวกลางเป็นของเหลว) และจะมีการสูญเสียความร้อนมาก แต่เป็นวิธีที่เข้าใจง่ายกว่าระบบอื่นๆ

– การนำความร้อน (CONVENTION) จะคล้ายกับการพาความร้อน แต่จะใช้ตัวกลางที่มีการนำความร้อนได้ดี ซึ่งมักจะร้อน จะถูกนำมาจากปลายอีกข้างหนึ่งโดยตัวกลางจะไม่เปลี่ยนรูป

– การแผ่รังสี (RADIATION) จะเป็นแผ่รังสี IR ไปยังเป้าหมายซึ่งคลื่นจะทำให้เป้าหมายสั่นสะเทือน ซึ่งส่งผลให้เกิดความร้อนขึ้น วิธีการนี้เป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ถ้าเลือกวัตถุเป้าหมายที่เหมาะสม เนื่องจากพลังงานความร้อนประเภทนี้จะอยู่ในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสงมาหาวัตถุ (แบบเดียวกับการที่ดวงอาทิตย์ส่งความร้อนมายังโลก)

รังสี IR สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิด ตามความยาวของคลื่น ดังนี้

 

  1. INFRARED SHORT WAVE (IR คลื่นสั้น) ความยาวคลื่นตั้งแต่ 780-1400nm.
  2. INFRARED MEDIUM WAVE (IR คลื่นกลาง) ความยาวคลื่นตั้งแต่ 1400-3000nm.
  3. INFRARED LONG WAVE (IR คลื่นยาว) ความยาวคลื่นตั้งแต่ 3000-10000nm.

ความยาวคลื่น (WAVE LENGTH) มีหน่วยนับเป็น นาโนเมตร (1 NANO-METER =10 METER) และมีค่าผกผันกลับค่า

รังสีทั้ง 3 ชนิด ก่อให้เกิดการสั่นสะเมือนของโมเลกุล ซึ่งก่อให้เกิดความร้อนที่แตกต่างกันและจะมีประสิทธิภาพมากเมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับวัตถุที่มีโครงสร้างโมเลกุลเรียงกันเป็นแถว เช่น สี กาว อาหาร พลาสติก แลคเกอร์ และ น้ำ

ดูข้อมูลเพิมเติมที่ ความรู้เกี่ยวกับอินฟราเรด